กวีซีไรต์ของไทย
รางวัลซีไรต์ (อังกฤษ: S.E.A. Write) มีชื่อเต็มว่า รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (อังกฤษ: Southeast Asian Writers Award) เริ่มก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2522 เป็นรางวัลประจำปีที่มอบให้แก่กวีและนักเขียนใน 10 ประเทศรัฐสมาชิกแห่งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปัจจุบัน
โดยงานเขียนที่ได้รับรางวัลเป็นผลงานที่ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวาง และมีงานเขียนหลากหลายรูปแบบที่ได้รับรางวัล อย่างเช่น กวีนิพนธ์ เรื่องสั้น นวนิยาย ละครเวที คติชนวิทยา รวมไปถึงงานเขียนด้านสารคดีและงานเขียนทางด้านศาสนา พิธีจะถูกจัดขึ้นในกรุงเทพมหานคร โดยมีพระบรมวงศานุวงศ์ทรงเป็นประธานในพิธี
นับตั้งแต่มีการก่อตั้งรางวัลซีไรต์ขึ้น สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงประกอบด้วยรัฐสมาชิกเพียง 5 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย ต่อมา ในปี พ.ศ. 2527 บรูไนได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เวียดนามเข้าร่วมในปี พ.ศ. 2538 ลาวและพม่าเข้าร่วมในปี พ.ศ. 2540 และกัมพูชาเข้าร่วมหลังสุดในปี พ.ศ. 2542
วัตถุประสงค์มีดังนี้ คือ
- เพื่อให้เป็นที่รู้จักถึงความสามารถด้านสร้างสรรค์ของนักเขียนในกลุ่มประเทศอาเซียน
- เพื่อให้ทราบถึงโภคทรัพย์ทางวรรณกรรม ทรัพย์สินทางปัญญาวรรณศิลป์แห่งกลุ่มประเทศอาเซียน
- เพื่อรับทราบ รับรอง ส่งเสริมและจรรโลงเกียรติ อัจฉริยะ ทางวรรณกรรมของนักเขียนผู้สร้างสรรค์
- เพื่อส่งเสริมความเข้าใจและสัมพันธภาพอันดีในหมู่นักเขียนและประชาชนทั่วไปในกลุ่มประเทศอาเซียน
กฎเกณฑ์การเลือกสรรงานวรรณกรรม มีดังนี้ คือ
- เป็นงานเขียนภาษาไทย
- เป็นงานริเริ่มของผู้เขียนเอง มิใช่งานแปลหรือแปลงจากของผู้อื่น
- ผู้เขียนยังมีชีวิตอยู่ขณะส่งงานเข้าประกวด
- เป็นงานตีพิมพ์เผยแพร่ (มี ISBN) เป็นเล่มครั้งแรกย้อนหลังไม่เกิน 3 ปี ภายในวันสิ้นกำหนดส่งงาน
- งานวรรณกรรมที่เคยได้รับรางวัลอื่นใดในประเทศไทยมาแล้วจะส่งเข้าพิจารณาอีกก็ได้รางวัลซีไรต์(นวนิยาย)
ลูกอีสาน : คำพูน บุญทวี
ลูกอีสานเป็นนวนิยายที่ได้รับรางวัลนวนิยายดีเด่นของคณะกรรมการพัฒนาหนังสือ แห่งชาติในปี พ.ศ.2519 และรางวัลวรรณกรรมยอดเยี่ยมแห่งเอเซีย (ซีไรต์) ในปี พ.ศ.2522 มีผู้นำไปสร้างเป็นภาพยนต์และแปลเป็นภาษาต่างประเทศ 3 ภาษา ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ผู้เขียนได้ตีแผ่ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอีสานได้อย่างชัดเจนและเจาะลึก ซึ่งทำให้ผู้อ่านได้รู้ ถึงความเป็นจริงของชาวอีสานว่ามีความลำบากยากแค้น เพียงใด การปรับตัวให้อยู่กับธรรมชาติ ที่แร้นแค้นนั้น เป็นสิ่งเดียวที่ช่วยให้พวกเขามีชีวิตอยู่ได้ แถมท้ายเล่มมีสูตรอาหารรสแซบชวนน้ำลายสอ เช่น แกงอ่อม ต้มส้มงูสิง ลาบนกขุ้ม และภาพสัตว์ต่างๆที่กล่าวถึงในเรื่องอีกด้วย
คำพิพากษา : ชาติ กอบจิตติ
คำพิพากษา นวนิยาย ของ ชาติ กอบจิตติ ที่ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน หรือ รางวัลซีไรต์ ประจำปี พ.ศ. 2525 จัดพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2525 โดย สำนักพิมพ์ต้นหมาก มีความหนา 320 หน้านอกจากนี้นวนิยายเรื่อง คำพิพากษาที่ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน หรือ รางวัลซีไรต์ ประจำปี พ.ศ. 2525แล้ว ยังได้รับรางวัลเมขลาจากดารานำฝ่ายหญิงในปี พ.ศ. 2528 ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 1 (ครั้งแรก) ในบทละครโทรทัศน์ทางไทยทีวีสีช่อง 3 ซึ่งประพันธ์โดย ชาติ กอบจิตติปูนปิดทอง : กฤษณา อโศกสิน
ปูนปิดทองเป็นหนังสือนวนิยายของ กฤษณา อโศกสิน ได้รับรางวัลซีไรต์ในปี พ.ศ. 2528 มีเนื้อหาที่เกี่ยวกับปัญหาของครอบครัวในสังคมไทยส่วนใหญ่ตัวละครเอกในเรื่องได้แก่ สองเมือง และ บาลี ทั้งคู่เกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่หย่าร้าง เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ บาลีศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก และชักจูงให้สองเมืองลืมความข่มขื่นใจที่เคยเกิดขึ้น ทำสองเมืองรักบาลี และมั่นใจว่าชีวิตคู่ของเขาและเธอจะไม่เป็นอย่างพ่อกับแม่ และจะเป็นพ่อแม่ที่เป็นตัวอย่างที่ดี ไม่ใช่เป็นเพียงรูปหล่อปูนที่ปิดด้วยทอง ซึ่งไม่มีค่าอะไร
ตลิ่่งสูง ซุงหนัก : นิคม รายยวาผู้เขียนต้องการจะเน้นให้เห็นว่าคนส่วนมากชอบติดอยู่กับซากมากกว่าสิ่งมีชีวิต และทุกคนมีการเกิดและตายอย่างละหนึ่งครั้งเท่านั้น แต่สิ่งที่อยู่ระหว่างสิ่งนั้นเราต้องหาเอง ชีวิต คือ การรับส่วนแบ่งที่ต้องเฉลี่ยกันไม่ว่า ความทุกข์ ความสุข ความดี ความเลว แต่ละคนมักจะแย่งกัน รับความดีไว้มากกว่า ส่วนด้านไม่ดีไม่อยากยอมรับกันเจ้าจันท์ผมหอม นิราศพระธาตุอินทร์แขวน :
มาลา คำจันทร์
เปิดตัวเมื่อปี พ.ศ. 2461 เจ้าจันท์เป็นเจ้าหญิงล้านนาคนงาม เธอเดินทางไปบูชาพระธาตุอินทร์แขวน ซึ่งเป็นพระธาตุประจำปีเกิดที่อยู่ในเขตพม่าใกล้เมืองเชียงใหม่ ด้วยความตั้งใจว่าจะตัดผมหอมบูชาพระธาตุ ตำนานเล่าว่าผู้ใดที่ปูผมลอดพระธาตุได้ จะสมหวังในสิ่งใดก็ตามที่ตั้งใจไว้ และสำหรับเจ้าจันท์แล้ว เธอกำลังต้องการให้ความหวังที่มีอยู่เป็นจริงอย่างเหลือเกินเวลา : ชาติ กอบจิตติเวลา นวนิยายแนวใหม่ของ ชาติ กอบจิตติ เขียนเสร็จเมื่อวันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2536 มีความยาวทั้งหมด 232 หน้า เนื้อเรื่องเป็นเรื่องราวของผู้กำกับภาพยนตร์คนหนึ่งที่สูญเสียภรรยาและลูกสาวไปให้กับการทำงานของตนเอง ที่เข้าไปดูละครเวทีของนักศึกษากลุ่มหนึ่งที่กำลังลาโรง แรงจูงใจของเขาที่ทำให้ไปดูละครเวทีเรื่องนี้ก็เพราะได้อ่านคำวิจารณ์มาก่อนว่า เป็นละครเวทีที่น่าเบื่อที่สุดในรอบปีและเป็นละครเวทีที่เกี่ยวกับคนแก่ในบ้านพักคนชรา ทั้ง ๆ ที่กลุ่มผู้สร้างเป็นเพียงนักศึกษาที่ยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำประชาธิปไตยบนเส้นขนาน : วินทร์ เลี้ยววารินทร์ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน เป็นหนังสือของ วินทร์ เลียววาริณ วางจำหน่ายใน พ.ศ. 2537 และได้รางวัลซีไรต์ใน พ.ศ. 2540[1] ฉบับภาษาอังกฤษให้ชื่อว่า (Democracy, Shaken & Stirred) วางจำหน่าย พ.ศ. 2546 เป็นนิยายเชิงการเมืองไทย โดยดำเนินเรื่องตามการปฏิวัติในประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2475 จนถึงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬใน พ.ศ. 2535 ตัวละครหลักในเรื่องเป็นตัวละครสมมติ แต่มีการใช้บุคคลในประวัติศาสตร์มากมาย วินทร์ได้ใช้ลักษณะการเขียนแบบเดียวกันนี้ในนิยายอีกเรื่องของเขา คือ ปีกแดง (พ.ศ. 2545) เพียงแต่เป็นเรื่องของลัทธิคอมมิวนิสต์ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
อมตะ : วิมล ไทรนิ่มนวล
“อมตะ” เป็นนวนิยายแนวส่งเสริมพุทธศาสนา โดย วิมล ไทรนิ่มนวล โดยมีเป้าหมายเพื่อให้มนุษย์เห็นสัจจธรรมในชีวิต และพบความสงบสุข ซึ่งได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรท์) ประจำปี 2543 ได้รับคำยกย่องจากคณะกรรมการตัดสินรางวัลนี้ตอนหนึ่งว่า "เป็นนวนิยายแห่งจินตนาการถึงโลกอนาคตเกี่ยวกับการแสวงหาความเป็นอมตะของชีวิตโดยใช้รูปแบบวิวาทะระหว่างแนวคิดบริโภคนิยม กับแนวคิดทางศาสนาของโลกตะวันออก"ช่างสำราญ : เดือนวาด พิมวนา
นวนิยายเรื่องนี้มีทั้งความสนุก เรื่องตลก (ที่อาจจะหัวเราะไม่ออก) ภาพความสะเทือนใจ อย่างไรก็ตาม อาจารย์ยุรฉัตรกล่าวว่า แม้เนื้อหามีลักษณะไม่เครียดทั้งเรื่อง แต่ก็แฝงความสะเทือนอารมณ์เอาไว้ในขณะเดียวกัน ซึ่งทำให้มีความน่าสนใจในเรื่องนี้ผู้เล่าเรื่องอยู่ในลักษณะผู้สังเกตการณ์ ทำให้สามารถมองเห็นอารมณ์เศร้าของเด็ก และการผ่อนคลายอารมณ์เศร้าสะเทือนใจของเด็กชายนั้นวิธีการนำเสนอเรื่อง ผู้เขียนนำเสนอโดยใช้โลกทัศน์แบบมองโลกในแง่ดี และสื่อถึงการช่วยเหลือกันในสังคมจริงๆ ที่ไม่ใช่สังคมอุดมคติ อาทิ ชาวบ้านที่มาช่วยมีลักษณะเกี่ยงว่า วันนี้ฉันช่วยแล้ว พรุ่งนี้ตาเธอช่วยบ้าง ในนวนิยายเรื่องนี้ กล่าวถึงปัญหายาเสพติดที่ไม่รุนแรง แต่แฝงแนวคิดว่า สังคมนี้ต้องพึ่งพาอาศัยกัน จึงจะอยู่ร่วมกันได้ความสุขของกะทิ : งามพรรณ เวชชาชีวะ
ความสุขของกะทิ เป็นนวนิยายขนาดสั้น ของ งามพรรณ เวชชาชีวะ ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ของประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2549[1]และได้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี พ.ศ. 2552 ในชื่อเดียวกันคือ ความสุขของกะทิ หนังสือภาคต่อของ ความสุขของกะทิ ชื่อว่า ความสุขของกะทิ ตอน ตามหาพระจันทร์ และ ความสุขของกะทิ ตอน ในโลกใบเล็ก
เสน่ห์ของนวนิยายขนาดสั้นเรื่องนี้อยู่ที่กลวิธีการเล่าเรื่อง ที่ค่อยๆ เผยปมปัญหาทีละน้อย ๆ อารมณ์สะเทือนใจจะค่อยๆ พัฒนาและดิ่งลึกในห้วงนึกคิดของผู้อ่าน นำพาให้ผู้อ่านอิ่มเอมกับรสแห่งความโศกอันเกษม ที่ได้สัมผัสประสบการณ์ทางอารมณ์ของชีวิตเล็กๆ ในโลกเล็กๆ ของเพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งอาจไม่ไกลจากชีวิตจริงของเราเลย
มาเรียนรู้เพิ่มเติม เรื่องนวนิยาย ที่ได้รางวัลซีไรต์ กันได้ในบทความนี้นะคะ ^^
ตอบลบ